ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

วิธีรู้กาย

๑๓ เม.ย. ๒๕๕๒

 

วิธีรู้กาย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เพราะว่าเวลาเราเข้าใจธรรมะ เราเข้าใจตามประสาเรา เราคาดการณ์ตามประสาเรา เห็นไหม ต้องนุ่มนวล อ่อนหวาน ต้องเป็นอย่างนั้น แต่เวลาถ้าคนไม่เข้าใจ แต่ถ้าเข้าใจนะ เวลาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ หลวงตาท่านพูดเลย สมัยหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นไปหมดนะ

ดูสิ ไปเทศน์ที่วัดเจดีย์หลวง เทศน์ซ้ำเฒ่า เทศน์ครั้งสุดท้าย เทศน์ ๓ ชั่วโมงกว่า หลวงตาท่านอยู่ที่นั่นด้วย ตอนนั้นท่านไปเรียนที่วัดเจดีย์หลวง ท่านบอก ขนาดหลวงปู่มั่นเทศน์อยู่ในวัด คนเขาเข้ามาดู เขานึกว่าพระทะเลาะกัน นั้นหลวงปู่มั่นออก ออกขนาดนั้นนะ

นี้เราคิดกันเองไง ด้วยกิริยามารยาท สังคม มารยาทสังคมเรายังต้องเป็นอย่างนี้เลย แล้วพระปฏิบัติ พระว่ามีคุณธรรม แต่ทำไมพูดจา โอ้โฮ รุนแรงขนาดนั้น แต่เขาไม่คิดว่ามันออกจากหัวใจ แล้วมันเป็นธรรมชาติด้วยนะ มี! เช่นหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ฝั้นท่านเป็นพระอรหันต์นะ แต่หลวงปู่ฝั้นนี่เทศน์นิ่มนวลมาก แล้วมีพลัง มีพลังนะ ท่านพูดช้าๆ นะ พุทโธๆ พุทโธนะ “พุทโธสว่างไสว พุทโธผ่องใส” พุทโธๆ

แล้วประชาชนมาจากทั่วประเทศ มาจากเชียงใหม่ มาจากภาคใต้ มาหมดเลย มาถึงปั๊บจะเข้าไปกราบท่าน กราบอยู่ตลอดเวลา กราบอยู่ตลอด จนท่านแบบ ท่านใช้ร่างกายมาก ท่านเลยอายุสั้น พออายุสั้นเพราะอะไร เพราะเกรงใจโยมไง

เพราะมันเป็นจริตนิสัย เพราะเราอยู่เราไปเที่ยวอยู่สายนี้เยอะ สายถ้ำภูถ้ำขาม เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอก ขนาดพระด้วยกันพยายามจะกัน กันไม่ให้โยมเข้ามา เพราะพยายาม คือว่า ให้โยมมาเป็นเวลาไง พอให้โยมมาเป็นเวลาปั๊บ พอถึงก็อยากเข้ามา

พอไปเจอหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ฝั้นท่านถามเลยนะว่า

“พวกโยมนี่เขามาหาใคร”

เขาบอก “มาหาหลวงปู่ฝั้น”

“ก็มาหาเรา แล้วหน้าที่อะไรเอ็งไปกันท่าไว้อย่างนั้น”

ลูกศิษย์ก็เลยไม่กล้าทำไง นี้พอเข้าไปๆ นี้หลวงตาพูดเอง ตอนหลังหลวงตาพูดเองว่า ตั้งแต่ฉันข้าวเสร็จจนสี่ทุ่มห้าทุ่ม สี่ทุ่มห้าทุ่มทุกวัน คนนั่งอย่างนี้ทั้งวันๆ ทุกๆ วันไหวไหม สุดท้ายอายุท่านก็เลยสั้น

ฉะนั้นพอหลวงตา ถึงเวลาท่าน ของท่าน ท่านจะบอกว่าของท่านนะ ถ้าจิตใจท่านหรือท่านมีภาระของท่าน ท่านจะบอกไฟเหลืองๆ เพราะมารยาทไง ด้วยนิสัยท่านนุ่มนวลมาก หลวงปู่ฝั้นท่านนิ่มนวลมาก

แต่เวลาหลวงตา ท่านเห็นมา ตั้งแต่สมเด็จมหาวีรวงศ์ วัดมหาธาตุ วันสงกรานต์ สรงน้ำๆ ไง พอสรงน้ำเสร็จ โยมมาเอาบุญใช่ไหม โยมก็กลับบ้าน สมเด็จก็เข้าโรงพยาบาล ปอดบวม เวลาเราคิดกัน ถ้าโลกเขาคิดกันอย่างนั้น

แต่ถ้าธรรมะนะ ธรรมะเป็นผู้นำเขา ฉะนั้นเวลาเราจะกันอย่างไง อย่างเช่นหลวงตาเห็นไหม ท่านจะไม่พูดนะ ท่านจะไม่บอก ไม่บอกใคร เพราะ! เพราะอย่างนี้ เพราะคุยกันไม่รู้เรื่องไง เพราะวุฒิภาวะเขามันต่ำไง เขาคิดได้แค่โลกไง คิดได้แค่โลก คิดแค่มารยาทสังคม ถ้าคิดเรื่องธรรม ธรรมคือหัวใจไง คือ หัวใจที่พอมันแบบว่ามันกระเทือน มันสะเทือน มันรับรู้ แล้วมันมีอะไรเป็นภาระ

อย่างเช่น เรานี่ บางทีเราเสียดอก คำว่าเสียดอก หมายถึงว่าเรายอก เราคิดว่ามันแปล้บๆ เราป่วยไข้หรือยัง คำว่าเสียดอกนะ มันมีอาการของใจไง มันมีความรู้สึกมันถึงต้อง.. พอไปบอกนะ ถ้าพระที่มีชื่อเสียงนะ พอไปบอกโยมว่า “โยม อาตมาป่วย” อย่างนี้ วัดพังเลยนะ เพราะเขาเป็นห่วงไง ป่วยก็บอกเขาไม่ได้นะ ป่วยต้องเงียบ แล้วรักษาเราให้หาย พอหายเสร็จแล้ว เอ้อ เราป่วยเราหายแล้ว (หัวเราะ) คือ ไม่ให้เขาเข้ามายุ่งไง

ถ้าบอกว่าป่วยนะ ถ้าอาจารย์เวลาท่านดำรงชีวิต เราอยู่กับท่านเราดูท่าน เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยนะจะไม่บอกใคร แล้วท่านพูดเลยนะ เวลาพูดกับพระ ท่านบอกว่า เราป่วยจะบอกใครไม่ได้หรอก เพราะบอกใครแล้ว เพราะทุกหัวใจเขาอยู่ที่เรา ทุกหัวใจเขาเคารพศรัทธา ถ้าบอกไปแล้วนะ อย่างน้อยหัวใจเขาต้องหวั่นไหว

อย่างเช่น อาจารย์เราเจ็บไข้ได้ป่วย เราจะหวั่นไหวไหม ถ้าบอกไปมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ฉะนั้นเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วเฉย รักษาตัวเอง พอหายแล้วค่อยบอกว่า “เออ เราป่วย เราหายแล้ว” ถ้าบอกว่าป่วยนะ ยุ่งเลย นี่ไง นี่เป็นธรรมเห็นไหม “ธรรมกับโลก”

แต่ถ้าเป็นโลกไม่ได้นะ โอ๊ย เจ็บไข้ได้ป่วยนะ ไม่มาเยี่ยมไม่มาดูแลนะ น้อยใจ โอ๊ย ไม่มีใครมาดูเลย น้อยใจ แต่คนที่มีคุณธรรมนะ ป่วย ป่วยเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมโอสถ ถ้ารักษาหายแล้วรักษาไปเพราะมันธรรมดา ร่างนี้ ร่างกายมันเป็นเรือนรังของโรค เป็นที่อาศัยของโรค ถ้ารักษาโรคหายแล้วนะมันก็คือหาย ไม่หายก็คือกรรม ไปบอกเขาไม่บอกเขาก็เท่านั้น มานะ มาก็ โอ๊ยๆ คือว่ามาโอ๋กัน แล้วโอ๋แล้วหายไหม โอ๋ ไม่ใช่ยาโว้ย เออ มันจะหายไม่หายมันอยู่ที่ยาใช่ไหม

แล้วโยมมาเยี่ยมมากันอะไร ก็มาให้กำลังใจ มาโอ๋กัน แล้วกำลังใจพระอรหันต์ต้องการไหม พระอรหันต์เต็มสมบูรณ์แล้วนะ พวกนั้นมันเป็นเรื่องข้างนอก ทีนี้คนมันมุมมองต่างกัน เรื่องกิริยาเหมือนกัน กิริยา ใช่ พูดนิ่มนวลก็ได้ พูดอ่อนหวานอย่างไรก็ได้

แต่อ่อนหวาน ถ้าประสาเรานะ นี่พูดภาษาเราเลยนะ เรียกว่าดัดจริต คนดัดจริตไม่ออกมาจากตามความเป็นจริง ธรรมะมันจะเป็นอย่างนั้นไหม อย่างเราคิดอย่างหนึ่งต้องพูดอย่างหนึ่ง มันดัดจริต พอดัดจริต ถ้าภาษาเราเลย มันก็อกุศล มันตอแหล

แต่ถ้าเป็นธรรมะ มันก็อีกล่ะนะ ธรรมะมันก็มีแบบว่าเด็กๆ ใช่ไหม อย่างดูตอนเช้า เด็กๆ สิ เออ โอ๋เหมือนกัน มาให้ยาคูลท์ โอ๋ เพราะอะไร เพราะเด็กมันยังไม่รู้มันฟังธรรมะไม่เป็น แต่มันพูดรู้เรื่องนะ เด็กนะ แค่ขวบ สองขวบ มันพูดไม่รู้เรื่อง แต่มันสื่อความหมายกับเราได้แล้วนะ ใจมันรับรู้แล้ว

แต่มันยังพูดภาษาไม่ได้ เด็กมันรู้ได้ มันวางใจได้ ดูสิ ดูพระให้ แล้วเวลาพระให้ สังเกตได้ไหมว่า เด็กมันจะเอาเราคนเดียว เพราะอะไรรู้ไหม มันบอกพระองค์อื่นไม่ได้ให้มัน พระเหมือนกันนะ พระองค์อื่นไม่ให้ มันก็ไม่เข้าไปหา

อ้าว เด็ก มันไปหาองค์อื่นไหม มันวิ่งมาหาเราเพราะอะไร เพราะเข้ามาได้ยาคูลท์ ไปหาองค์อื่น องค์อื่นเราห้ามไม่ให้ให้ เพราะองค์อื่นเราห้ามเลย ห้ามเด็ดขาด เพราะถ้าเราไม่อยู่จะทำลับหลังเราไม่รู้

แต่ต่อหน้า เรารู้เลยนะ เอ็ง พวกพระทั่วไปไม่ควรให้ ไม่ควรให้เพราะอะไร เพราะใจเรายังหวั่นไหวอยู่ ใจเรายังโยกคลอนอยู่ เราทำอย่างนั้นไม่ได้ ใจโยกคลอนอยู่ คือ มีลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะชัง ลำเอียงเพราะพวกเรา ลำเอียงเพราะพวกเขา อย่างนี้ไม่ควรทำ ถ้าหัวใจเรายังหวั่นไหวอยู่ ยังลำเอียงอยู่ อย่าทำ

มันจะเป็นผลย้อนกลับมา ทำให้ใจดวงนั้นเดือดร้อน เพราะเราให้ไปแล้วอย่างนี้ คำว่าลำเอียงใช่ไหม เอ๊ ให้แล้วถูกไหม ให้คนนี้ถูกไหม แต่ถ้าใจมันเป็นธรรมแล้วนะ ใครมาก่อนได้ก่อน ใครมาทีหลังอดเอา ติดไว้พรุ่งนี้ให้ใหม่ ติดไว้ก่อน ติดไว้ก่อน เวลามันหมดนะ ติดไว้ก่อนเลย มันเป็นธรรม

คือ ถ้ามาก่อนก็ให้ก่อน มาทีหลังมีก็ให้ตลอด ถ้าไม่มีนะ ติดเอาไว้ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ให้ ๒ ขวด หนึ่งมันไม่เสีย คนให้มันไม่หวั่นไหว มันไม่มีปัญหา แล้วคนรับก็ไม่มีปัญหา

นี้พูดถึงมุมมองนะ การแสดงออก แล้วโลกมองไม่ออก โลกมองไม่ออกหรอก โลกไม่เข้าใจ เพราะอะไร กิริยาเหมือนกิริยา แต่ถ้าคนที่มีธรรม พระที่มีคุณธรรมนะ กิริยาเหมือนกัน แต่มันแสดงออกต่างกัน รู้ได้ หลวงตาท่านพูดประจำ คนที่มีธรรมะนะ ปิดขนาดไหนนะ แสดงออก เห็นได้ คนที่ไม่มีนะ พูดมากกว่านั้นอีก ผิดหมดเลย พูดธรรมะผิดหมด เพราะมันพูดอย่างไร มันสรุปแล้วนะ เพื่อผลประโยชน์

พระอนาคานะ กิเลสของพระอนาคาอยากดัง อยากให้เขายอมรับ อยากติดในลาภสักการะ พระอนาคานะ ไปดูในพระไตรปิฎกสิ พระอนาคา กิเลสพระอนาคา ๕ ข้อ มานะไง พระอนาคามีอะไร มีมานะทิฐิใช่ไหม เพราะเป็นสังโยชน์เบื้องบน พระอนาคายังละ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชาไม่ได้ สังโยชน์เบื้องบน ๕ ข้อ

มานะ มานะสำคัญตน ใหญ่กว่าเหนือกว่า อยากไหม แล้วอยากไม่อยากธรรมดาด้วยนะ อยากแบบละเอียด อยากอยู่ข้างใน อยากอยู่ข้างใน อยากอยู่ลึกๆ ไง ไม่แสดงออกนะ ไม่แสดงออก คนข้างนอกดูไม่ออก

แต่ถ้าพระเหนือกว่ามองทีเดียว มันไม่ได้อยากหยาบๆ ไง ความอยากมันมีตั้งหลายระดับ ทีนี้พระอนาคาจิตมันปล่อยหมดแล้ว ฉะนั้นมันยังมีกิเลสอยู่เลย ถ้าอย่างนั้นทำไม่ได้ สิ่งที่มองได้สังคมเข้าใจไม่ได้ สิ่งที่สังคมเข้าใจไม่ได้ ธรรมะมันถึงเหนือโลก ธรรมะไง ใจที่สูงกว่าดึงใจที่ต่ำกว่าขึ้นมาๆๆ แต่ใจที่ต่ำกว่ากับต่ำกว่ามันก็คลุกกันอยู่อย่างนั้นนะ แล้วปัจจุบันนี้เป็นอย่างนั้น

ตอนนี้ไงสังคมเราถึงเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้เพราะอะไร เพราะพระพูดอย่างนั้น พระพูดอย่างนั้น พระเชื่อหมด เราบางทีเล่นแรงนะ วันนั้นพวกเด็กๆ มาจากสภาพัฒน์ มาถามปัญหานี้ เรื่องภาวนา แล้วเราบอกว่าไอ้พวกนี้มันอารมณ์สร้าง ใช่ มันเป็นธรรมะไหม ใช่ แต่ก็แบบว่าให้ทำเป็นปัจจุบันสิ ก็ตำรามันเขียนอย่างนี้

ตำรานะ คือว่า เขาติดไง เขาติดในตำรา เพราะเขาติดตำราปั๊บ ธรรมดาเราทำอะไรก็แล้วแต่ ทุกคนทำอะไรอยากได้คะแนนไหม ทำอะไรทุกคนอยากได้คะแนนหมด

ทีนี้พอตำรามันถือคะแนนไง พอเราทำปฏิบัติแล้วมันก็จะเอาตำรานั้นมารองรับไง ทีนี้ตำรามันผิดนะ โอ้ เราใส่นะ ตำราสัตว์มันเขียน เงียบเลยนะ คนเขียนก็ใครมันเขียนมา แล้วเขียนมาอย่างนี้ แล้วมึงไปเชื่อตำราอย่างนั้นได้อย่างไร นี่เราพูดด้วยเหตุผลไง

ทีนี้อย่างประสาเรา ตอนนี้นะ นี่ไงทางวิชาการที่ออกมาๆ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ทีนี้ปริยัติแผนที่มันผิด แผนที่มันผิดมันจะชี้ไปไหน แผนที่มันผิดหมด ถ้าแผนที่มันถูกมันจะชี้ไปที่ถูก ทีนี้พอแผนที่มันผิด นี่มันไม่มีวุฒิภาวะ มันก็ยังยึดแผนที่อีกว่ามันถือแผนที่มา

ไอ้เราพูดพูดจากความรู้สึกไม่มีแผนที่ อ้าว เขามองกันอย่างนั้นนะ แต่แผนที่กูก็ดูมาหมดแล้ว แผนที่นะกูก็ใช้มาหมดแล้ว แล้วกูลงมาในพื้นที่ด้วย แล้วกูไปจัดการมันเรียบร้อยหมดแล้ว แล้วเราถึงย้อนกลับมาได้ว่าแผนที่ถูกหรือว่าแผนที่ผิดไง คนเข้ามาในพื้นที่ มันจะตัดสินแผนที่ถูกผิดได้อย่างไร แผนที่มากางทุกคนก็ต้องว่าอ่านตามแผนที่นี้แหละ

แต่ถ้าเราลงไปในพื้นที่แล้วกลับมา เฮ้ย แผนที่มันเขียนบกพร่องตั้งเยอะแยะ ตรงนี้มันก็ไม่ได้เขียน ตรงนี้มันก็ไม่ได้บอก ตรงนี้มันก็ไม่มี แล้วที่มันเขียนมันก็ชี้ผิดด้วย เพราะเราเข้าไปแล้ว มันผิด พิกัดมันชี้ไปมันผิดที่มันไม่ตรงที่ มันรู้หมด

ถ้าเราเข้าไปในพื้นที่แล้ว เรามาดูแผนที่เรารู้เลยว่าแผนที่ถูกหรือผิด แล้วนี่บอกว่าแผนที่ผิดก็ไม่ยอมรับ แล้วเวลาทางวิชาการเห็นไหม ต้องเชื่อ ต้องเชื่อเอกสาร ต้องเชื่อหลักการ เอกสารมันเขียนมาผิดก็ผิดกันหมด

เราถึงสงสารมาก สงสารชาวพุทธมาก แล้วเวลาจะให้เขียนนะ บอกว่าอย่างเราให้เขียน ให้เขียนก็อย่างไรก็เขียนไม่ได้ เขียนไม่ได้เพราะอะไร เขียนไม่ได้ดูอย่างธรรมะพระพุทธเจ้า ธรรมะพระพุทธเจ้ามันเป็นความจริงอันหนึ่งใช่ไหม เวลาท่านแสดงออกมา มันเป็นตัวอย่าง เหมือนกับหนังตัวอย่างกับหนังเต็มเรื่อง

หนังตัวอย่างเขาเอาแต่ตัวอย่างมาให้ดูใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน เวลาแสดงออก ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วในศีลมันมีคืออะไร ในสมาธิมันเป็นอย่างไร ปัญญามันเป็นอย่างไร โอ้โฮ มันยังอีกมหาศาลเลย แล้วเลยบอกไว้เป็นหลักไง

นี้บอกไว้เป็นหลัก พอมึงยึดหลักใช่ไหม มึงยึดตำรานั้นนะ มึงเข้าไปหาตัวจริงไม่ได้แล้ว ที่นักวิชาการเถียงกันอยู่เถียงกันอยู่ตรงนี้ เถียงกันอยู่ที่วิธีการ เถียงกันอยู่ที่เครื่องดำเนิน แต่มันไม่เข้าไปถึงที่ แล้วเขาบอกตำราถูกตำราถูก เราถึงบอกว่าพุทธพจน์กูไม่เถียงเลยล่ะ แต่กูเถียงไอ้คนพูดพุทธพจน์ เพราะพุทธพจน์กูไม่เถียง เพราะพุทธพจน์กูรู้อยู่ว่าพระพุทธเจ้าปรารถนาอะไร

พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่นี่ พระพุทธเจ้าชี้บอกทางเข้ากรุงเทพฯ ชี้ไปโน้น กรุงเทพฯ มันอยู่ที่กรุงเทพฯ ใช่ไหม เราอยู่กันที่นี่ พุทธพจน์ไงชี้ทางเข้ากรุงเทพฯ แต่เราเอาหนังสือมาอ่าน กรุงเทพฯ ก็อยู่ที่กูนี่ แล้วก็คิดว่าที่นี่กรุงเทพฯ มันเป็นกรุงเทพฯ ไหม คือว่า อ่านแล้วก็เข้าใจว่ารู้ไง อ่านแล้วก็เข้าใจว่ารู้ อ่านธรรมะเราก็เข้าใจแล้ว รู้แล้วรู้ธรรมะแล้ว แต่ความจริงที่อ่านมานั้นนะ คือ วิธีการ ศีลยังไม่เกิดเลย

เอ็งอ่านแล้วเอ็งเข้าใจ เอ็งอ่านแล้วเอ็งมีความปลอดโปร่ง มีความโล่ง นั้นคือสภาวะ สภาวะที่เอ็งรับรู้เฉยๆ ความจริงยังไม่มีสักนิดหนึ่ง แต่พออ่านเข้าไปแล้ว โอ้โฮ รับรู้ รับรู้ โหย เป็นอย่างไร เดี๋ยวมาถามแล้ว หลวงพ่อ โน้นเป็นอย่างไร เราฟังเรื่องนี้มาเยอะมาก มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะยังไม่ได้ทำอะไรเลย ถ้าจะทำปั๊บ มันก็ต้อง ต้องมา เราเริ่มปฏิบัติกัน แล้วเราปฏิบัติเห็นไหม เวลาปฏิบัติขึ้นมาปัญหาจะเกิดมากมายมหาศาลเลย

อาหารนะ อาหารตักใส่ปากเข้าไป ลิ้นรับรู้รส ลิ้นรับรู้รสแล้วมันหลากหลาย คนรับ ลิ้นของแต่ละคนมันต่างกัน อย่างเฉพาะลิ้นเราเอง เรากินอาหารรสจัดปั๊บ เราไปกินอาหารรสจืดรสกลางลิ้นไม่รู้รสเลย ลิ้นเราเอง ใจก็เหมือนกันเวลาทำสมาธิ ถ้าเรากินรสจัด คือว่า จิตมันเคยลงที่ดี พอจิตมันเป็นสมาธิอยู่บ้างนะ ไม่ได้อะไรเลย ไม่ได้อะไรเลย ทั้งๆ ที่เป็นมันก็ไม่รู้ ถ้ารสจัดจิตมันจะลงลึก มันลง ถ้าวันไหนจิตดีจิตจะดีมาก

แล้วพอมันทำต่อไปเห็นไหม พอทำต่อไป มันก็เป็นสมาธิ เพราะลองได้อาหารใส่ปากนะ ลิ้นรับรู้รสนะ เราได้เคี้ยวกินละ พอได้เคี้ยวกินนั่นคือคุณค่าของอาหารใช่ไหม พอลงไปเราได้ละ แต่มัน รสมันจางเห็นไหม เพราะลิ้นเราได้รสจัดไปแล้ว จิตก็เหมือนกันพอรับรู้สิ่งใดต่างๆ เห็นไหม มันนึกว่ามันไม่ได้อะไร แต่ความจริงมันได้ เพราะความจริงได้แล้วเพราะอะไร เพราะเราทำอยู่นี่ เวลาเราปฏิบัตินะ เรานั่งสมาธิภาวนาเพื่ออะไร ถ้าเพื่อสงบ เราต้องการความสงบ

นี้ความสงบ ผลของความสงบน้ำเต็มแก้ว น้ำมันถึงเต็มภาชนะแล้ว ขนาดไหนมันจะเพิ่มปริมาณน้ำไม่ได้แล้ว เพราะภาชนะมันเต็มแค่นั้น สมาธิเราทำขนาดไหนนะ อัปปนาสมาธิเย็นหมดว่างหมดขนาดไหน อยู่แค่นั้น! อยู่แค่นั้น! แต่ตัวนี้สำคัญมาก สำคัญมากเพราะทำอย่างนี้ปั๊บ น้ำเต็ม น้ำเต็มๆ ภาชนะ คำว่าน้ำเต็ม เอ็งดูสิ ภาชนะน้ำเต็ม เอ็งเอาอะไรใส่ไปได้ไหม ใส่ไปมันล้นหมด น้ำล้นทันทีเลย

ถ้าจิตเอ็งอิ่มเต็มแล้ว อารมณ์หรือสิ่งต่างๆ ที่เป็นกิเลสมันเข้าไม่ได้เลย สมาธิมันถึงมีความสำคัญตรงนี้ไง เพราะเป็นสมาธิปั๊บจิตมันจะสบายว่างตลอดเวลา กิเลสเข้าไม่ได้หรอก กิเลสจะเข้าได้ต่อเมื่อน้ำมันพร่อง พอน้ำพร่องมันมีที่ว่าง เติมน้ำได้เติมสิ่งใดๆ ได้ใช่ไหม พอสมาธิเราเสื่อมกิเลสมันโถมเข้ามาได้แล้ว นี้พอถม พอสมาธิเราเสื่อมปั๊บ อ้าว เฮ้ย นิพพานกูทำไมเสื่อม แล้วนิพพานกูเสื่อมแล้วเพราะอะไร เพราะว่ามันมีที่ว่างแล้ว

ทีนี้ถ้านิพพานไม่เสื่อม เห็นไหม ถ้านิพพานไม่เสื่อม มันจะมีปัญญาอย่างไร ปัญญาที่มันออกรื้อค้น นี้ปัญญาออกรื้อค้น เพราะเราเป็นคนเติมน้ำในภาชนะนั้นเอง แล้วเราคนเอาน้ำในภาชนะนั้นออกไปใช้ประโยชน์เอง พอเอาน้ำจากนั้นไปใช้ประโยชน์ขึ้นมาแล้ว ประโยชน์ที่จะทำอะไร ผลเกิดจากน้ำนั้น หรือที่เราทำขึ้นมา เรารู้เอง ชัดเจนมาก เพราะฉะนั้นเริ่มต้นขึ้นมา ที่เราทำกันอยู่นี่ ที่เราทำนะ ที่เราพูดบ่อยมาก ที่เราโต้แย้งบ่อยมาก ต้องทำสมาธิก่อนแล้วค่อยใช้ปัญญา

เราเน้นย้ำ เพราะ! เพราะสังคมโดยทั่วไป เขาบอกว่า

๑. ไม่ต้องทำสมาธิ ๒. เขาไม่รู้จักสมาธิ

เขาไม่ต้องทำสมาธิเพราะอะไร เพราะคิดว่าถ้าใช้ปัญญาไปเลยจะเป็นประโยชน์มาก คือเขาบอกเขาจะเรียนทางลัดสั้นกัน ลัดสั้นกันโดยที่เขาไม่รู้ ลัดสั้นกัน อย่างพวกเราเห็นไหม เราไปหาหมอ หมอที่เขาเป็นผู้รักษา เขาจะให้เราเข้ากระบวนการการรักษาเลย แล้วมันรักษาจนหายใช่ไหม

แล้วถ้ามาหาเรา เราหมอเถื่อน เราบอกเลยว่านอนเฉยๆ เดี๋ยวหาย ชอบ ทุกคนชอบ ไม่ต้องรักษา นอนเฉยๆ แล้วหายเลย กระบวนการลัดสั้นไง ใช้ปัญญาไปเลย ใช้ปัญญาไปเลย นอนเฉยๆ เดี๋ยวหายเอง มันเป็นไปไม่ได้ เราถึงบอกให้ทำสมาธิ ที่เราพยายามจะเน้น เราจะเน้นทุกๆ คน ต้องทำสมาธิก่อน คือว่า ถ้ามาหาหมอปั๊บ หมอประจำบ้านต้องตรวจเช็คก่อนว่าคนป่วยเริ่มต้นเป็นโรคสิ่งใด แล้วส่งไปเฉพาะทาง

นี่ก็เหมือนกัน เราเข้ามาปั๊บ เราต้องทำสมาธิก่อน ถ้าสมาธิเป็นไปได้แล้ว กระบวนการเราเป็นโรคอะไร ถ้าสมาธิมันเป็นไปแล้วใช่ไหม เราจะไปค้นคว้า เราจะเป็นโรคอะไร โรคนั้นก็ส่งไปเฉพาะทางนั้น โรค คือ จริตไง ถ้าเรากระบวนการเราทำแล้วจริตเราเป็นอย่างไร เราทำได้อย่างไร ส่งไปทางกระบวนการนั้นเลย แต่ถ้ามันยังทำสงบไม่ได้ มันกระบวนการยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคอะไร นอนเฉยๆ เดี๋ยวหายเอง

เราเน้นมาก เพราะ เพราะอะไรรู้ไหม ไม่ใช่ว่า พูดแล้วเดี๋ยวจะหาว่าอวดไง เพราะเรารู้ว่าสังคมตอนนี้ กระแสอะไรมันแรง กระแสหลักกระแสที่เขาสอนกัน อะไรมันแรง เราถึงบอกสิ่งที่กระแสเขาเป็นไป แล้วสิ่งที่พูดตรงข้าม คือต้องให้ทำความสงบก่อน ทีนี้พอทำความสงบก่อนปั๊บ กิเลสเป็นอย่างนี้นะ พอบอกปั๊บมันก็ยึดเลยใช่ไหม ต้องทำความสงบก่อนไม่สงบใช้ปัญญาไม่ได้ ได้! พอจิตมันสงบบ้างเราออกมาฝึกปัญญา

ถ้าเราจิตสงบเราจะรอให้สงบแล้วค่อยวิปัสสนา นี้เราพูดบ่อย ที่เราพูด เวลาโยมมาถามใช่ไหม หลวงพ่อ ใช้ปัญญาอย่างนี้ๆ เป็นวิปัสสนาหรือยัง เราบอกยัง แต่คำว่ายังปั๊บเขากลัวผิดไง เขาต้องเอาจิตสงบก่อนแล้วค่อยวิปัสสนา จิตสงบแล้วใช้ปัญญาได้ คือปัญญาอย่างนี้มันก็เป็นปัญญาส่งเสริมให้จิตเป็นสมาธิอยู่นั่นแหละ เพราะจิตมันยังไม่เป็นอิสระ พอจิตมันเป็นอิสระแล้ว พอจิตอิสระจิตสงบพอสมควรแล้ว

จิตถ้ามันเห็นกายนะ จิตมันรำพึงไปเห็นกาย เห็นกายนะ เห็นกายเวลาจิตเรามั่นคง เราพิจารณากาย เราพิจารณากายด้วยการนึกคิด การใช้ปัญญาตามข้อตามกาย อย่างนี้เราบังคับจิตให้อยู่ในกาย มันก็อยู่ในวงกาย มันผลที่มันรู้เท่าแล้วมันก็ปล่อย นี่เป็นสมถะ แต่ถ้าจิตมันปล่อยจนเห็น พอมันปล่อยจนถึงเต็มที่แล้วนะ จิตเห็นไหม กาย เวทนา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นได้ทั้งสมณะเป็นได้ทั้งวิปัสสนา

เป็นสมถะอย่างเช่น เช่น เราคิด อัฐิๆๆ คำบริกรรมไง บริกรรมว่ากระดูกๆๆ อัฐิๆๆ นี่คำบริกรรม นี่คือผลของมัน ผลของมันก็คือสมถะ เพราะมันเป็นสมาธิ แต่ถ้า พอมันเป็นสมาธิแล้วใช่ไหม พอเป็นสมาธิแล้ว พอจิตมันสงบแล้ว พอเห็นกาย เห็นกายมันไม่เห็นเหมือนแบบที่เราบริกรรมละ มันเห็นด้วยตาของใจ กิเลสมันอยู่ที่ใจ พอใจมันเห็น เห็นสิ่งที่มันยึดติด จิตใต้สำนึกของคน มันจะว่าสิ่งที่เราตอบสนอง สิ่งที่ความรู้สึกอะไรนี่เป็นของเรา จิตใต้สำนึกมันบอกว่ากายนี้เป็นเรา

ทิฐิ ทิฐิจิตมันเห็นผิด มันเห็นผิดเพราะอะไร เพราะมันเป็นข้อเท็จจริง คำว่าจริงคือว่ามันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง คือเป็นธรรมชาติอันหนึ่งว่า เช่น เราหาเงินมา เราเป็นคนหาเงินมา เงินในกระเป๋าเราเป็นของเราไหม เราก็ต้องว่าเป็นของเราซิ เงินที่หามาเป็นของเราไหม เป็น! เป็นแน่นอน แต่ในธรรมะ ในปรมัตถธรรม มันเป็นหรือเปล่า มันเป็นเพราะมันมีใช้จ่ายใช่ไหม ทีนี้จิตของเรามันมีอวิชชา มันเวียนตายเวียนเกิด มันเกิดโดยธรรมชาติ เกิดโดยสมมุติ มันเกิดมา มันก็ต้องเป็นมันธรรมดานั่นล่ะ

แล้วเราไปศึกษาธรรมะ ธรรมะบอกว่ากายนี้ไม่ใช่เรา อะไรก็ไม่ใช่เรา ถ้าไม่ใช่เราเป็นพระโสดาบัน มันก็นึกว่ากูก็ไม่ใช่เรานะ โอ้ ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ แต่ใช่ เพราะอะไร เพราะความฝังใจมันใช่ แต่ศึกษามาไม่ใช่ พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ กายไม่ใช่เรา ชีวิตไม่ใช่เรา ก็เอ้อ ไม่ใช่ๆ

แต่ใจมันใช่! ใช่! อย่าหลอกตัวเอง พอมันใช่ขึ้นมา พอจิตมันสงบเข้าไป พอจิตมันสงบเห็นไหม มันเป็นเอกภาพ มันเป็นตัวของมันเอง แล้วพอมันไปเห็นเข้า โอ้โฮ มันสะเทือนใจมากนะ สะเทือนใจมาก พอสะเทือนเพราะอะไร เพราะว่าสิ่งที่ว่าเป็นเราๆ พอมันเห็นเข้าไป

ดูสิ เวลาเรานั่งอยู่นี่นะ บางทีเราเห็น เห็นเป็นซากศพนอนอยู่ข้างหน้า ผู้ที่ปฏิบัติใหม่ๆ งงนะ เราเคยเป็น นั่งอยู่ เห็นศพมันนอนอยู่ข้างหน้านะ จิตเป็นสมาธินะ มันจะเห็นด้วยสำนึกและคิดว่า เพราะว่าเราไม่ได้เคยนึกคิดอะไรเลย

“พุทโธอย่างเดียว”

พอจิตมันสงบไปแล้ว เห็นซากศพนอนอยู่ข้างหน้า มันก็แปลกใจ ในใจมันเห็นนะ แล้วมันก็สงสัยตัวเองนะ “เอ๊ะ นี่ใครวะ” เห็นศพนอนอยู่ข้างหน้า แล้วมันก็ถามตัวเองในสมาธิ “เอ๊ะ นี่ใครวะ” มันก็ตอบไม่ได้นะ

แล้วเราลองพลิก มันหงายมันก็หงายอย่างนี้ เอ๊ ซากศพแข็งเป็นท่อนไม้เลย นอนอยู่ข้างหน้า พลิกไปพลิกมา “เอ๊ะ มันใคร” มาคิดดูนะเป็นใคร พอออกจากสมาธิไปถามอาจารย์

“อาจารย์ผมเห็นซากศพนั่นเป็นใคร”

โดยสามัญสำนึก เราเห็นใช่ไหม มันก็ต้องเราเห็น เรามองเห็นโยม เราก็ต้องว่าโยมกับเราไม่ใช่คนเดียวกัน มันก็ต้องเป็นโยม อาจารย์ตอบมาว่า

“ก็มึงเห็นตัวมึงเองไง”

มันก็งง มันยิ่งงงใหญ่เลยนะ เอ๊ะ ก็เราเห็นคนนอนอยู่ข้างนอก มันเป็นเราอย่างไร

เวลาปฏิบัติใหม่ๆ เราเป็นตั้งแต่ภาวนาไม่เป็นนะ จนภาวนาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา พอไปเห็นศพมันก็งง ไปถามอาจารย์ อาจารย์บอกว่า มึงก็เห็นตัวมึงเองไง มันก็ฟังเฉยๆ นั่น แต่จิตใต้สำนึกมันก็ค้านนะ ก็ตัวกูได้อย่างไร ก็กูเห็นคนมันนอนอยู่ข้างหน้ากู มันจะเป็นกูได้อย่างไร จิตใต้สำนึกมันค้าน!

แต่เวลาอาจารย์ตอบมา เราก็ไม่มีเหตุผลจะเถียงท่าน แต่จิตใต้สำนึกมันค้าน มันจะเป็นเราได้อย่างไร ก็กูเห็นมันนอนอยู่ข้างหน้า เห็นในสมาธินะ

แล้วพอภาวนาไปเรื่อย ภาวนาไปเรื่อย พอภาวนาไปถึงที่สุด มันก็ใช่จริงๆ แต่เราวุฒิภาวะเรายังไม่รู้ ก็คือไม่รู้ เวลาเรามาสอนพวกโยมประจำเห็นไหม พวกโยมโดยความคิด ทุกคนไม่อยากเห็นกาย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเห็นกาย คิดว่ากายคือ “ผี”

เพราะเห็นผี เห็นผีคือเห็นซากศพ เห็นลิ้นยาวๆ เห็นตาถลน ก็โอ้โฮ กลัวผี ก็ไม่อยากเห็นกาย เขาไปคิดกันอย่างนั้น เราถึงรับประกัน ไอ้เราเห็นตาถลน ไปเห็นผีนั่น เราไปเห็นจิตวิญญาณ เขาเข้ามาแสดงตัวให้เราดู เพราะอะไร เพราะสิ่งที่เราไม่ได้ตั้งใจ เขามาให้เห็นให้ดูใช่ไหม มันเป็นเวรเป็นกรรม

แต่ถ้าเราภาวนาอยู่ พอจิตเราสงบ มันเห็นโดยธรรม สัจธรรม อริยสัจ ถ้าจิตเราไม่สงบ จิตเราไม่เป็นเอกภาพ จิตเราจะไม่สามารถเห็นได้ จิตที่เราเห็นมันเห็นโดยสัจธรรม เห็นโดยความเป็นจริง ในหลักธรรมของพระพุทธเจ้า มันไม่ใช่เห็นโดยจิตวิญญาณของเรา เพราะเราฝึกสมาธิใช่ไหม เราเป็นศากยบุตรใช่ไหม เราภาวนาใช่ไหม แล้วเราตั้งทำสมาธิใช่ไหม พอจิตเรามันเป็นไป พอเป็นไปถ้ามีวาสนามันจะเห็นกาย นี่เห็นนะ

ถ้าวาสนาบางคนสร้างมาไม่เหมือนกัน เพราะวาสนา คนหนึ่งพิจารณาจิตสงบแล้วเห็นกาย เราภาวนาด้วยกัน แต่เราจิตสงบแล้ว เราวาสนาต่ำกว่าอย่างไรมันก็ไม่เห็น ไม่เห็นวิธีแก้ก็ต้องรำพึง รำพึงหมายถึง คิดในสมาธิ สมาธิคิดได้ เพราะโดยปกติเราคิดเห็นไหม มันเป็นจิตกับความคิด พลังงานกับความคิดมันเห็นภาพมันทำงานด้วยกัน แต่จิตสงบแล้วตัวมันเองมันคิดได้อย่างไร มันคิดได้อย่างไร มันก็รำพึงโดยตัวมันเอง เหมือนเรานึก ความคิดเราไม่ต้องนึกมันก็คิดเองเลยนะ

แต่เวลาเรานึกเพราะอะไร เพราะเรานึกขึ้นมา รำพึงขึ้นมาก็รำพึงขึ้นมาจากสมาธิ พอสมาธิ รำพึงเรื่องกาย ถ้ากำลังมันพอมันจะเห็นได้ คือว่าถ้าคน วุฒิภาวะมันต่ำกว่า มันพยายาม มันต้องมีสิ่งที่จุดประกาย สิ่งที่โน้มไปให้เห็นเหมือนกับคนที่มีวาสนาเห็นไหม การภาวนามันอยู่ที่วาสนาของคนมันไม่เหมือนกัน แต่ถ้าพอจุดประกายหรือเริ่มต้นทำได้จับได้ เราเริ่มต้นได้ มันมีช่องทางไปได้ละ

ทีนี้พอช่องทางไป พิจารณาไป พอพิจารณากายไป ถ้าจิตมันดี พิจารณากายไป กายมันจะสู่สภาวะมันจะแปรสภาพ จากอุคหนิมิต คือ เห็นภาพที่มันเป็นท่อนไม้ เห็นเป็นท่อนไม้นะ ให้มันพลิกให้มันแปรสภาพ ถ้าจิตมีกำลัง มันจะเปื่อยเน่า มันจะผุพังของมันไป มันจะสู่สภาพเดิมของมัน นั่นคือ “ไตรลักษณ์”

ถ้าเป็นไตรลักษณ์ เหมือนเด็กเลย เด็กมันถือของเล่นของมันอยู่ แล้วของเล่นในมือนะ มันย่อยสลายไปต่อหน้ามัน เด็กมันจะทึ่งไหม นี้เด็กมันเป็นเด็กที่มันไม่มีสติ มันรับรู้สิ่งนี้ไม่ได้ เด็กเวลามันเล่นของเล่นมันอยู่เห็นไหม แล้วของเล่นมันย่อยสลายต่อหน้ามัน มันจะตกใจไหม

แต่นี่จิตมันเป็นใช่ไหม จิตมันเป็นจิตมันสร้างภาพอย่างนี้ขึ้นมา สิ่งที่จิตมันติดขึ้นมาเรื่องของกาย แล้วมันแปรสภาพสู่สภาวะของมัน คืนสู่สภาพปกติของมัน โอ้โฮ มันทึ่ง เอ๊อะ เอ๊อะ พอมันทึ่งขึ้นมา นี่ๆ มันคลาย มันคลายความยึดมั่นถือมั่น มันจะคลายของมันบ่อยๆ มันเป็นของมัน พอมันคลาย พอคลายปั๊บนะ ถ้าคนไม่เป็นนะ พอคลายปั๊บนะ โอ้โฮ “ขนาดเป็นสมาธิทุกคนก็หลงว่าเป็นนิพพานแล้ว”

พอพิจารณาไป แปรสู่สภาพเดิมนะ เขาเรียก ตทังคะ คือ มันปล่อยวาง เพราะเหมือนเรายืนอยู่บนเก้าอี้แล้วแตก เก้าอี้นั้นโดนทำลายไป เราจะยืนอยู่บนอากาศได้อย่างไร มันก็หายไปหมดเลย ตทังคปหาน

พอถึงที่สุดนะ มันแยกออกสู่สภาพของมันนะ กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ พั๊วะ! โสดาบันเลย สักกายทิฏฐิ

สักกายทิฏฐิเห็นไหม ทิฐิผิด ทิฐิ ความเห็นว่ากายเป็นเรา มันอยู่ที่จิตใต้สำนึก พอสัจจะความจริง เพราะมันย่อยสลายจนเห็นสัจจะความจริงหมดแล้ว ถ้ามันปล่อย เขาเรียก ตทังคปหาน ตรงนี้ติดกันมาก พอมันปล่อยชั่วคราว พอปล่อยแล้ว โธ่ สมาธิยังมีความสุขเลย แล้ววิปัสสนาไปทำไมมันยิ่งสุขมากขนาดนั้น พอยิ่งสุขมากขนาดนั้นปั๊บ มันก็นึกว่านี่เป็นมรรคผล นี้มันตทังคะ คำว่า ตทังคปหาน คือ มันประหารชั่วคราวไง

เหมือนเราซักเสื้อผ้าทำความสะอาดแล้ว แล้วเรามาใส่อีกมันก็เลอะอีก ก็ต้องซักอีก เสื้อผ้าซักทุกวัน แล้วก็ใส่ทุกวันนะ ก็ซักอยู่นั่น ถ้าเราซักเสร็จ ทำให้เสร็จ เก็บใส่ตู้เสร็จ ล็อกเสร็จ ไม่ใช้อีกเลย จบ

ตทังคปหาน เวลามันขาด ขาดเลย สังโยชน์ขาดเลยกลับไปสู่สภาวะเดิม นี่ไงไม่มีวันเสื่อมเลย ไอ้ที่ว่าเจ็บไข้ได้ป่วยนู่นเวทนานะ ขันธ์ ๕ นะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เวทนา เวทนาไม่ใช่เรา เราไม่ใช่เวทนา เวทนาไม่มีทุกข์ ทุกข์ไม่มีในเวทนา เวลามันขาดแล้ว พระโสดาบันเท่านั้นถึงจะขาด

นอกนั้นยังชั่วคราว คำว่าชั่วคราว พอว่าชั่วคราวปั๊บ คำว่าชั่วคราว ทีนี้เวลาขาดมันขาดหนเดียว นี่คำว่าขาดหนเดียว พอเราก็จะให้ค่าเรา เราก็จะหลงนะ ทุกคนจะหลง เพราะครูบาอาจารย์บอกว่าเวลาขาดขาดได้หนเดียว เวลาจบนี้ กับข้าวทำสุก สุกได้หนเดียว วัตถุดิบพอสุกแล้วมันจะดิบอีกไม่ได้

นี้พอจะสุข พอเราวิปัสสนาไป พอมันปล่อยวางชั่วคราวเราเข้าใจว่ามันสุกแล้ว ของมันดิบ อย่างเช่นเมล็ดพันธุ์พืช ถ้ามันดิบเอาไปปลูกมันก็งอกอีก นี่เหมือนกันพอว่ามันปล่อยแล้วมันก็สุขมาก มีความพอใจมาก พอมันเสื่อมนะมันก็งอกอีก พองอกอีกก็กิเลสอีก ก็สู้กันอีก คนหลงกันเยอะคนติดกันเยอะ

ทีนี้พอติดเวลาติด อย่างที่เราพูดเรื่องเมื่อกี้เรื่องซากศพ เราเองเราก็ไม่รู้ ไปถามอาจารย์ อาจารย์บอกว่า “ก็มึงเห็นตัวมึงเองไง” คือว่าเราเห็นกาย

เราก็คิดในใจ “เห็นกายที่ไหนวะ กูก็นั่งอยู่ เอ๊ะ กูไปเห็นซากศพข้างนอกมันจะเป็นกูได้อย่างไรวะ”

มันยังเถียงนะ เราเป็นคนเถียงมาแล้ว เราเถียงมาในใจ ทีนี้พอสุดท้ายพอมันเป็นไปแล้ว พอภาวนาไปแล้ว อ๋อ จริงหมดเลย แล้วพอมันขาดแล้วมันรู้ว่าขาด นี่ถ้าเรายังไม่เป็นไปมันจะเป็นอย่างนั้น

นี้ย้อนกลับมาตรงนี้ ย้อนกลับมาที่ว่าเวลาภาวนาไปมันจะเกิดอาการต่างๆ ความเกิดอาการต่างๆ มันเหมือนกับคนฝึกงาน ข้าราชการใหม่ คนทำงานยังไม่เป็น การมาฝึกงานยากมาก แต่พอฝึกงานเป็นแล้ว มันจะไปได้

นี้เรามาฝึกงานแล้วนี้ มันจะจับพลัดจับผลู มันจะมีความผิดพลาดบ้าง มันต้องมีความเข้มแข็ง การปฏิบัติที่มันยาก มันยากตอนเริ่มต้น เริ่มต้นคือเราทำงานไม่เป็น ถ้าทำงานเป็นได้นะ มันจะก้าวเดินไปเรื่อยๆ มันจะเป็นไปได้ มันยากตรงนี้ไง

มันยากเพราะมันมีอาการอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้น มันเป็นอาการทั้งนั้น อย่างที่พอภาวนาไปจิตมันปล่อยบ้าง จิตมันเป็นไปบ้างมีอุปสรรคบ้าง นี้มีอุปสรรคบ้าง มันอยู่ที่ตัวเราจะรักษาตัวเรานะ นี้เราปฏิบัติ เรานะ ตอนเราปฏิบัติใหม่ๆ ส่วนใหญ่แล้ว เราจะไม่ยอมอ่านหนังสือทางวิชาการ

แต่เราจะอ่านหนังสือประวัติครูบาอาจารย์ เพราะประวัติครูบาอาจารย์ มันเป็นประสบการณ์ตรงของครูบาอาจารย์แต่ละองค์ที่ท่านปฏิบัติมา เราชอบมาก เพราะว่าท่านปฏิบัติมาใช่ไหม เหมือนกับเราชุบมือเปิบ เรามีตัวอย่างเลย

เราอ่านปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐาน ประวัติหลวงปู่มั่น อ่านตรงนี้เป็นตัวอย่าง แล้วเอาตรงนี้เป็นที่ตั้ง แล้วเราเดินตามนั้นเลย ฉะนั้นพอเดินตามนั้นปั๊บนะ ในนั้นสอนไว้ว่า ฉันข้าวเสร็จแล้ว ตอนนั้นยังไม่เข้าบ้านตาดพรรษาหนึ่ง ฉันข้าวเสร็จแล้วเวลาเก็บบาตร เอาบาตรเข้าไปในกุฏิ อย่าขึ้นไป เพราะเดี๋ยวมันอยากจะขอพักก่อน คือ มันอยากจะพักผ่อนก่อน วางบาตรผลักเข้าไปแล้วเอาผ้าผึ่งแดดไว้ผึ่งลมไว้ เพราะมันจะเหม็นอับแล้วเข้าทางจงกรมเลย

เราทำอย่างนั้นตลอดนะ ไม่มั่วสุมกับใคร อยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ เว้นไว้แต่เกิดงานของส่วนรวม งานของส่วนรวมทำก่อน อย่างเช่นบางที่ อยู่ที่บางที่ เขาจะมีการซ่อมแซมพวกที่อยู่อาศัยเราจะช่วยงาน ถ้าอะไรเป็นส่วนรวมเราร่วมมือ แต่ถ้าเป็นงานส่วนบุคคล คือ เขาคิดของเขาเองเขาทำเอง เราจะไม่ไปยุ่งกับใครเลย เราจะภาวนาอย่างเดียว เราจะเร่งภาวนาอย่างเดียว เพราะมันต้องเอามันจะหลุดพ้นได้ มันอยู่ที่นี่ แล้วพอภาวนาไปแล้วมันจะมีอุปสรรค เราจะบอกว่า ความเป็นอยู่มันก็เป็นอุปสรรคอันหนึ่ง

ความเป็นอยู่พวกเรามันจะเป็นอุปสรรคอันหนึ่ง เพราะคนของเรา มันบางคนไม่เหมือนกันนะ บางคนชอบภาวนาเวลาก็แตกต่าง ทีนี้เวลาแตกต่างบ้าง ความสงบต่างๆ มันใช้ไม่ได้ มันกระเทือน กระเทือนกันไง ทีนี้กระเทือนกันมันต้องหลบหลีกกัน มันต้องหาที่ หาที่อยู่ของตัวเอง แล้วพอจากที่ข้างนอกปั๊บ ก็จากข้างใน จากข้างในมันก็อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงที่ว่า ผู้นำ ผู้ชี้นำ

ถ้าผู้ชี้นำนะ จำเป็นมากนะ ถ้าผู้ชี้นำไม่เป็น มันฟังคำโจทย์ มันฟังคำถามของลูกศิษย์ไม่ออกนะ ลูกศิษย์ที่ถาม ถ้าอาจารย์ไม่เป็นนะ เพราะเราเจอบ่อยมาก พระที่มาหาเรามาถึงบอกให้เราแก้ไง แล้วอยู่ที่วัดทำอย่างไร ก็อาจารย์เขาสอนว่าจิตสงบแล้วให้พิจารณา จิตสงบแล้วให้พิจารณา เขาพูดกันแค่นั้นล่ะ จิตสงบแล้วให้พิจารณากาย

แล้วเราถามพิจารณาอย่างไร ตอบไม่ถูก ก็ให้ทำกันไปเอง พอทำกันเองปั๊บ พอเขาทำปั๊บ เขามีปัญหาเขาถึงมาหาเรา จิตสงบพิจารณา จิตสงบขนาดไหน แล้วจิตเห็นอะไรถึงพิจารณา แล้วพอจิตเห็น เห็นจริงหรือเห็นปลอม

จิตถ้ามีรากมีฐาน จิตสงบแล้วมีพื้นฐานเห็นได้จริงนั้น คือ เห็น เหมือนเราตาเห็นได้จากดวงตาของเรา แต่ถ้าเราใส่แว่นสีล่ะ ถ้าจิตเราบอดสีล่ะ การเห็นมันหลากหลายมาก ไม่ใช่ว่าเห็นแล้วมันจะคือเห็นนะ แล้วถ้าอาจารย์ไม่เป็นใช่ไหม

อย่างเด็กเห็นไหม เด็กๆ มันบอกมันเห็นกายก็ได้ อ้าว มันฟังเราทุกวัน เด็กมันว่าเห็นกาย แล้วถ้าผู้ใหญ่ไม่มีวุฒิภาวะ เชื่อมันนะ อย่างเด็กมันบอกมันเห็นกายเอ็งเชื่อไหม ไอ้หยก ไอ้ยุทธ มันบอกมันเห็นกายเอ็งเชื่อมันไหม อ้าว มึงจะเอาอะไรไปวัดมัน เราไม่มีอะไรวัดมันหรอก

อ้าว เอ็งมาบอกเอ็งเห็นกาย ถ้าคนไม่เป็นนะ เห็นเหรอ แล้วเห็นอย่างไร เพราะเราไม่รู้ใช่ไหมเราก็ถามเขากลับ แต่ถ้าเป็นคนเป็นนะ เห็นกายใช่ไหม เห็นอย่างไร พอมันบอก ถูกผิดนี่มันบอกเลย ถ้าเขาจริงนะ โอ้โฮ เห็นเป็นอย่างนั้นๆ บางคนเห็นกายนะหลวงพ่อ เห็นกาย พิจารณากาย ปล่อยกาย เห็นกาย พูดอยู่อย่างนั้น สัญญา คำเราซักกัน มันจะบอกหมด คนถ้าไม่รู้ไม่เห็น

เรานี่นะขับรถมาเจออุบัติเหตุ เราเจ็บหนักเลย เราเป็นคนเจ็บเอง เราจะบอก โอ้โฮ เราเจอมา เจ็บมากๆ แล้วเราก็เล่าให้โยมฟัง โยมก็ฟังไปโยมก็ไปเล่าต่อนะ โอ้โฮ เจออุบัติเหตุนะ พอเขาถามนะ เจ็บอย่างไร ไม่รู้ ไม่รู้หรอก คนไม่เคยเป็นไม่เคยเห็น พูดไม่ได้รู้ไม่ได้ แต่ฟังเขาเล่ามา

พอเขามาถาม อาจารย์ที่สอน สอนอย่างนี้ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราไปนั่งฟังมาเกือบทุกองค์ อาจารย์องค์ไหนเราก็ไปอยู่ด้วยมาแล้วทั้งนั้น เวลาเขาตอบปัญหา เรานั่งฟังอยู่ เรารู้เลยว่าอาจารย์องค์นี้ภาวนาเป็นหรือไม่เป็น แค่เราฟังเขาตอบปัญหา เรารู้หมดนะมึง

อ้าว เวลาพูดมา เขาพูดว่ากายก็เชื่อว่าเขาเห็นกายแล้ว ถ้าเขาเห็นขึ้นมา การเห็นของเขาเห็นด้วยสัญญาก็ได้ เห็นด้วยจิตของเขาที่ยังอ่อนแออยู่ การเห็นนั้นมันจะเหมือนทีวี ที่ภาพที่มันไหว อย่างนั้นก็ได้ นั้นแสดงว่าเขาเริ่มเห็นแล้ว

แต่ความเห็นของเขา คือ วุฒิภาวะ คือ จิตเขายังไม่มั่นคง การเห็นของเขายังไม่มั่นคง คือ ภาพไม่นิ่ง ภาพยังสั่นไหวอยู่ แล้วถ้าจิตเขาดี ภาพเขาจะนิ่ง นิ่งมาก แล้วถ้าจิตเขาดี ภาพเขานิ่งนะ แล้วถ้าจิตเขาดีต่อไป เขามีกำลังของเขา เขาสามารถทำจากภาพนิ่งให้เป็นภาพเคลื่อนไหว คือ วิภาคะ คือแยกส่วนขยายส่วน

ถ้าจิตเขาดีเขาจะแยกส่วน เขาพัฒนาของเขาได้ละ นั้นวิภาคะ นี่ไตรลักษณ์จะเกิดแล้ว ไตรลักษณญาณจะเกิด ปัญญาจะเกิด ถ้าพอจิตเขามั่นคงขึ้นไปมากกว่านั้นนะ พอมันเคลื่อนไหวไปแล้ว มันจะมีเหตุมีผลของเขา คือ มันสู่สภาพของเขา มันสู่สภาพเดิมนี่ จิตเขาจะปล่อยอย่างไร

ถ้าเอ็งไม่เป็น มึงพูดไม่ได้หรอก ยิ่งไอ้คนฟังด้วยนะ ฟังไม่เป็นนะ อ้าปากเลยนะ พอลูกศิษย์มาภาวนานะ โอ้โฮ เก่ง โอ้โฮ คือ เราไม่เคยเห็นเราไม่เคยเป็น แล้วเขามาพูดให้ฟัง ไอ้คนที่ไม่เคยเป็น มันจะอ้าปากไหม อ้าปากเลยนะ

พูดคำนี้ขึ้นมาเพราะเราแก้พระเรื่องนี้มาเยอะ พระหลายองค์มากมาบอกว่า เห็นอย่างนั้นอย่างนั้น เราถาม อยู่กับใครสอนอย่างไร เขาบอกว่า จิตสงบให้พิจารณากาย ไม่เป็น เป็นไปไม่ได้หรอก

แล้วบางองค์ จิตของเขาเป็นเอง แล้วเขาพิจารณาของเขาไป พอพิจารณาของเขาไปสักพักหนึ่ง เขาใช้ปัญญาเขามาก จิตมันไปไม่ได้ละ เขาก็งงไง วิ่งมาหาเราเลยนะ เราบอกว่า “กลับมาที่พุทโธ”

“หลวงพ่อตอบแค่นี้”

“เออ”

มาจากอีสานนะ ตีรถมาเลยนะมาหาเรา เราบอกกลับมาที่พุทโธ แค่นี้ เออ

เพราะจิตมันออกไปใช้งานมาก พอจิตออกใช้งานมากปั๊บ กำลังแบบว่า ภาพเคลื่อนไหว แล้วพอภาพเคลื่อนไหว ไฟมันพลังงานมันน้อยละ ภาพเคลื่อนไหวมันเคลื่อนไหวไม่ได้ละ มันกลับเป็นภาพล้ม เพราะเป็นภาพล้มละ มันไม่ใช่ภาพเคลื่อนไหว มันภาพล้ม

ภาพล้มมันดูภาพนั้นไม่ได้ ดูภาพล้มไม่ได้ปั๊บ มันต้องกลับมา กลับมาทำไฟให้นิ่ง กลับมาทำสมาธิให้ได้ พอกลับทำสมาธิได้นะ ภาพนั้นมันจะกลับมาคงที่ เพราะอะไร เพราะมัน ทีวีนี้มันภาพนี้มันมีแล้ว ไม่เป็นสอนไม่ได้ แล้วที่สอนกันมานี่ อย่างที่พูดเริ่มต้นมา อย่างเช่น ไอ้ เช่นอะไรนะ เช่นๆ ที่ว่า..ไอ้

โยม : (เสียงถามไม่ชัดเจน) ....สมถะกับการเดินจงกรมที่นั่น ทำไมมันต่างกันอย่างนี้

หลวงพ่อ : มันต่อเนื่องกัน มันต่างกัน แต่มันต่อเนื่องกัน จะต่างกันโดยสิ้นเชิง ถ้ามันจะต่างกันโดยสิ้นเชิง เราจะสร้างขึ้นมาอย่างไร อย่างนี้ ถ้าพูดถึง ถ้ามันอย่างนั้นปั๊บ มันจะเป็นอารมณ์สร้าง อารมณ์สร้าง มันเป็นอารมณ์เริ่มต้น อารมณ์สร้างจะบอกไม่มีเลยก็ไม่ได้ อารมณ์สร้างหมายถึงว่า ในการอารมณ์จุดประกาย กระตุ้นให้เราทำ แต่ถ้ามันเป็นไปแล้วนะ เราจะรู้ของเรา เพราะอะไร เพราะมันเป็นจริงนะ โอ้โฮ ขนนี้พองหมดนะ

เวลาเห็นร่างกายมันเหมือนกับ โอ้โฮ มันขยาย แบบว่าความรู้สึก ความรู้สึกมันกระแทกเรา แบบว่าสะดุ้งสะเทือนไปทั้งเขาเรียกโลกธาตุหวั่นไหว โลกธาตุนี้ไหวหมดนะ คือ ร่างกายของเรา มันเกิดอาการที่ โอ้โฮ ขนพองสยองเกล้า โลกธาตุหวั่นไหวเลย

ธาตุ ๔ แต่นี้ร่างกายเราก็ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนกัน โลกธาตุไหวเห็นไหม แผ่นดินไหว แต่นี่แผ่นดินกิเลส แผ่นดินที่ความยึดของตัณหาความทะยานอยาก มันสั่นคลอนเลย โลกธาตุนี่ไหว โอ้โฮ ครืนๆ เลยนะ เวลาหลวงตาท่านบอกว่า โอ้โฮโลกธาตุนี่ไหวไปหมดเลย

นี่อารมณ์ของสมถะ คือ มันสงบ มันต่างกัน ต่างกันที่จิตสงบแล้วมันปล่อย ร่มเย็นเป็นสุขมาก แต่เวลาถ้ามันเป็นวิปัสสนานะ ที่มันอารมณ์วิปัสสนา อารมณ์วิปัสสนาเรื่อง กาย เวทนา จิต ธรรม เสร็จแล้ว เสร็จแล้วหมายถึงว่ามันจบ มันปล่อยแล้ว โอ้โฮ สุขมากกว่า ความสุขของเรา สุขโดยหินทับหญ้า สุขโดยทำปกติของมัน กับสุขโดยที่ว่า ทำลายหญ้าด้วย คือ ความสะอาดบริสุทธิ์มันลึกซึ้งกว่ากัน มันรู้ได้ รู้ได้เลย ติดทั้งนั้น ติดไปถึงเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป จะเข้าปัญหาแล้วนะ

ถาม : ผู้มีราตรีเดียวกับธรรม ความหมายต่างกันอย่างไร

หลวงพ่อ : ธรรมะมันเป็นธรรมนะ ธรรมะมันเป็นธรรม ผู้มีราตรีเดียว หมายถึง พระอรหันต์ ผู้มีราตรีเดียว ความจริง อ่านพระไตรปิฎกทุกคน ไม่เข้าใจพระไตรปิฎกพูดเรื่องอะไร ผู้มีราตรีเดียว หมายถึง พระอรหันต์ ผู้ที่จะพิจารณาอิทธิบาท ๔ ผู้ที่เข้าใจอิทธิบาท ๔ ก็พระอรหันต์อีกล่ะ

ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์พิจารณาอิทธิบาท ๔ ไม่ได้ ไม่เป็น เพราะพิจารณาอิทธิบาท ๔ เพราะพิจารณาด้วยตำราด้วยวิชาการ เราเข้าใจทางวิชาการได้ แต่ทางวิชาการ เราทำเรื่องเอกสาร เราทำอะไรทางวิชาการ เราทำให้งานมันจบได้ใช่ไหม แล้วมันได้อะไร ก็จะได้ทำงานข้างหน้าต่อไปไง แต่ถ้าผู้เป็นพระอรหันต์นะ ผู้ที่พิจารณาอิทธิบาท ๔ จิตตะ วิมังสา

(พอแล้วล่ะ พอแล้ว ถ่ายมากไม่ได้ เราเลยไม่ให้ถ่ายเลย จะบอกไว้ตั้งแต่ทีแรกแล้ว บางทีใครมาขอจะให้ถ่ายรูปสองรูป บางคนไม่ให้ถ่าย แต่ส่วนใหญ่ไม่ให้ใครถ่ายเลย แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ได้แล้วล่ะ ไม่ได้เพราะอะไรรู้ไหม มือถือ เวลาเขามาตอนเช้า เขาแอบถ่ายกันไม่รู้เรื่องหรอก เพราะเขามาถ่ายกันเยอะ มารู้ทีหลังว่าเขาไปลงใน ไอ้นั่น อะไร พันทิพ ในเว็บไซต์พันทิพ เขาเอารูปเราไปลงกัน แล้วคนเขาถามว่าลงได้ไง อ้าว ก็ผมไปทำบุญที่วัดไง แล้วผมก็ถ่าย แล้วก็ไปลงกัน

เราไม่รู้เรื่องเลยนะ อ้าว ไอ้ที่ไม่ให้ถ่าย ถ่าย ไม่ให้ถ่ายนะ พวกเราไม่ให้ถ่าย เขามาจากไหนก็ไม่รู้ เขาก็มาถ่ายของเขาไป บางทีเราถึงจะให้พวกเราเราก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ คือว่าใครจะทำอะไร ให้เก็บไว้บ้างไง คือว่าพวกเราก็ควรจะมีบ้าง ไม่ใช่เราหวงแหนเฉพาะพวกเรา ไอ้คนอื่นมาจากไหนปีชาติมาหาหนเดียว มันก็ถ่ายๆ แล้วเอาไปเลย เอาไปเก็บไว้ก็อีกเรื่องหนึ่งนะ เอาไปออกในเว็บไซต์ เอาไปทำ แล้วต่อไปมันจะไปหาผลประโยชน์ บางที )

โยม : แล้วของวัดที่เขาเอาของหลวงพ่อไปเปิด เขามาขอหรือว่าอย่างไร

หลวงพ่อ : เปิดในอะไร

โยม : ในวัดของสถานที่ปฏิบัติธรรมค่ะ

หลวงพ่อ : แล้วเว็บไซต์มีไหม

โยม : ได้ยินเพื่อนบอกว่าพระอาจารย์สงบก็...(เสียงไม่ชัดเจน)

หลวงพ่อ : เขาเอาไปหากิน เขาส่งคนมาขอหลายทีเราไม่ยอม เขาส่งคนมาขอหลายทีไม่ให้ ไม่ให้ เราไม่ให้นะ เราเก็บ เพราะว่าต่อไป เราเองเราไม่เคยออกเลย เรามีวิทยุนะ แต่เราก็ไม่เคยออกแม้แต่ทีเดียว เวลาวิทยุเสีย เขาจะซ่อมเขาจะเอาเทปเราไปเปิด เราบอกอย่า ไม่ให้เปิด คือ ไปลองเครื่อง เรายังไม่ให้เลย คือว่า เราทำอะไรต้องบริสุทธิ์ เราทำอะไรเราทำบริสุทธิ์มากนะ ไม่คือไม่ ทำคือทำ ฉะนั้นเราไม่ให้ เขาเอาไปออกกันเยอะ เวลาเขาเห็นประโยชน์ไง

เราคิดว่าของเรารู้ว่ามันจะเป็นประโยชน์ แต่ตอนนี้เราด้วยความเคารพอาจารย์ คือ หลวงตาท่านทำอย่างไรเราก็แล้วแต่ท่าน แล้วอนาคตเป็นของเรา เรารู้ว่ามันจะเป็นประโยชน์ ประโยชน์มากด้วย

แต่มันแบบว่า เขาเรียกอะไรนะ บ่มให้มันหอมหวานก่อนไง ไอ้นั่นเรื่องของเขา ไอ้สิ่งที่ทางเว็บไซต์ ไอ้นั้น ไอ้พวกพันทิพไปทำ เราไม่เห็นด้วยทั้งนั้น แต่เขาทำ เขาแบบว่าเขาถือตามสิทธิ์ตามกฎหมายไง ว่าเขาทำเป็นสาธารณะอะไรนี่

แต่ความจริงเพราะว่าเขาไปทำแล้วเขาไม่คิด เพราะเวลาเขาถ่ายรูปเราเฉยๆ แล้วเขาเวลาเขาลงเขาลงความเห็นเขา ไม่รู้พูดไม่ได้ แล้วความเห็นที่เขาลงไป มันก็คือ วุฒิภาวะ คือ ความเห็นของเขา คือ มันต่ำมากไง คือ มันไม่สมกับรูปกูว่าอย่างนั้นเถอะ รูปกูมันต้องให้กูพูดซิโว้ย เอารูปกูไปลงแล้วเอาธรรมะใครมาใส่ก็ไม่รู้ คนมาฟ้องเยอะ ถ้าเป็นคนอื่นเขาอยากทำทั้งนั้น ทุกคนก็อยากจะทำ แต่สำหรับเรานะ โลกกับธรรม โลกเป็นอย่างนั้น

แต่ธรรม “ธรรมคือความเหมาะสมพอดี”

ในเมื่อครูบาอาจารย์เรายังอยู่เห็นไหม เราเคารพตรงนั้น แต่นี้ถ้าครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้ทำ ท่านไปแล้ว ควรเหมือนกับเวลาข้าศึกมา เขาต้องการแม่ทัพนะ เวลาศึกมา เขาต้องการแม่ทัพ แม่ทัพออกศึก นั้นเวลาเรื่องของโลก เวลาเรื่องของสิ่งที่เขาวิตกวิจารณ์กันเรื่องธรรมะ ถ้าไม่มีใครแก้ไขเห็นไหม ไม่มีใครสามารถชี้ถูกชี้ผิดได้ เมื่อนั้นเราจะออก

ฉะนั้นที่บอกว่า ผู้มีราตรีเดียวมันหมายถึงพระอรหันต์เพราะอะไร ผู้มีราตรีเดียวหมายถึงพระอรหันต์เพราะอะไร เพราะพระอรหันต์มีราตรีเดียว คือ มีปัจจุบันไง วันนี้ คือ วันนี้ พระอรหันต์ไม่มีเมื่อวานกับพรุ่งนี้นะ ถ้าพระอรหันต์มีเมื่อวานกับพรุ่งนี้นะ พระอรหันต์ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์อยู่กับปัจจุบันตลอดนะ ปัจจุบันธรรม วิมุตติสุข ไม่เคลื่อนไง ไม่เคลื่อนอยู่กับที่ จิตคงที่ พูดบ่อย จิตคงที่ๆ ถ้าจิตคงที่ คือผู้มีราตรีเดียว วันนี้คือวันนี้ วันนี้ก็คือวันนี้ วันนี้ก็คือวันนี้

แต่ของเรานะ มีเมื่อวาน มีวันนี้แล้วก็มีพรุ่งนี้ แล้วก็มีมะรืนนี้ใช่ไหม แต่ของพระอรหันต์นะ ก็มีวันนี้กับวันนี้ มันเป็นวันเดียวนี้แหละ แต่มันก็เป็นปัจจุบันไปตลอดไง พระอรหันต์ก็มีวันนี้ พรุ่งนี้ก็เป็นวันของวันนี้ ก็มันปัจจุบัน ผู้มีราตรีเดียว

แต่นี้คนไม่เข้าใจใช่ไหม มีราตรีเดียวก็หมายความว่าราตรีนี้จะไม่เคลื่อนเลย เราอยู่ในวงการพระเราขำนะ บางองค์เขาเข้าใจว่า ผู้มีราตรีเดียว คือ กลางคืนไม่นอน ตื่นราตรีตลอดไง กูบอกโอ๊ยอย่างนั้น มึงก็เอาไม้ค้ำตาพระอรหันต์ไว้ก็แล้วกัน ไอ้ห่า เอาไม้ค้ำไว้เลยนะ พระอรหันต์ห้ามนอน

เราคุยกับ.. บางทีพระเข้าใจอย่างนั้น พระอรหันต์ คือ พระอรหันต์สว่างโพลงตลอดเวลา ผู้มีราตรีเดียว คือ ไม่เคยหลับไม่เคยนอนเลย สว่างโพลงตลอดเลย กูเห็นอาจารย์กูก็นอน หลวงตาท่านพูดอยู่เห็นไหม พระอรหันต์ไม่ฝัน

แล้วหลวงตาท่านอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น เพราะท่านเป็นห่วงหลวงปู่มั่นมาก ท่านเดินจงกรมอยู่ นี้หลวงปู่มั่นท่านฝันไง ท่านฝันท่านก็ออกอาการ แล้วเสียงมันก็ดัง หลวงตาท่านวิ่งมาเลย ท่านรีบไปดูอาจารย์ท่านไง พอเข้าไปใกล้หลวงปู่มั่นท่านก็ สติท่านก็ฟื้นมาไง ท่านบอก เอาอาจารย์เข้ามาใกล้ อาจารย์เป็นอะไร “ฝันว่ะ ฝันว่ะ ฝันว่าหมามา เอาไม้ เอาหินเขวี้ยงหมา เขวี้ยงหมา”

เขาบอกพระอรหันต์ไม่ฝัน ฝันเป็นอาการของขันธ์ อาการของขันธ์ อาการของขันธ์คือความคิด ขันธ์ ๕ เวลาเราหลับ เวลาจิต จิตเวลาหลับเห็นไหม มันก็พักขันธ์ เวลาฝัน เหมือนกับมันหลับไม่สนิท คนหลับสนิท จิตมันพักเต็มที่ ถ้าหลับไปปั๊บมันฝัน ฝันมันต้องมีข้อมูล คือ สัญญา นี่มันฝันมันก็แปลกนะ มันฝันในชาติปัจจุบัน มันฝันเรื่องสิ่งที่ยังไม่มา อนาคต มันฝันเรื่องอดีต อดีตชาติ

ความฝันมันฝันได้ลึกซึ้งเพราะอะไร เพราะในจิตมันมีสัญญา อะไรนะ อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺ?าณํ วิญฺ?าณปจฺจยา นามรูปํ เห็นไหม มันมีสัญญาอันละเอียด สัญญานั้นมันอยู่ในปฏิสนธิจิต ตัวจิตแท้ๆ คือ ตัวปฏิสนธิจิต ในตัวปฏิสนธิจิตมันมีปัจจยาการ ในปัจจยาการนั้นมัน คือ ข้อมูลอันละเอียด แต่ขณะนี้เราตื่นขึ้นมา ตาสว่างอยู่ มันเป็นข้อมูล สัญญา สัญญาคือข้อมูลในปัจจุบัน

เราคิดในปัจจุบันเห็นไหม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สัญญามันสัญญาชาติปัจจุบัน ถ้าตื่นตัวอยู่ สถานะของปัจจุบัน สถานะของชาติปัจจุบัน ทำอะไรจำได้หมดล่ะ จำได้ในปัจจุบันนะ แล้วพอเราสิ่งนี้มันจะย่อยสลายซับลงมาอยู่ที่จิต แล้วจิตเวลาเราหลับไปเห็นไหม การฝันมันฝันถึงเรื่องอดีตได้เลยล่ะ ทวิภพ

“ผู้มีราตรีเดียว หมายถึง พระอรหันต์”

ผู้ที่พิจารณา…เวลาในพระไตรปิฎกมีไง ผู้ที่พิจารณาอิทธิบาท ๔ ผู้ที่พิจารณาอิทธิบาท ๔ ได้ก็พระอรหันต์ ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์พิจารณาอิทธิบาท ๔ ไม่ได้ พิจารณาอิทธิบาท ๔ ไม่ได้เพราะอะไร เพราะไม่เคยเห็นจิต เวลาปุถุชนเข้าฌานสมาบัติ จิตเข้าถึงสมาธิ เห็นจิตไหม เพราะอะไรรู้ไหม เพราะตัวสมาธิคือตัวเราไง จิตเห็นอาการของจิตถึงเป็นวิปัสสนา พอเราเข้าสมาธิ สมาธิเป็นเรา

สมมุติเราร้อน เราเย็นเราก็เย็น เราเย็นนะแต่เราไม่รู้ว่าสิ่งที่กระทบเราคืออะไร แต่พอจิตสงบเข้ามา ถึงว่าเวลาอัปปนาสมาธิ จิตสงบไม่เห็นจิต เพราะตัวมันเองเป็นไง อย่างเรานี้จะเห็นเราไหม เราไม่รู้สึกตัวเรา แต่ถ้ามีอะไรกระทบเรา เราถึงจะรู้

จิตเห็นอาการของจิต จิตสงบแล้วเห็นอาการของจิต จิตเห็นจิต จิตเห็นจิตเพราะอะไร อย่างเช่น ทำไมพระอรหันต์ถึงเห็นอิทธิบาท ๔ ได้ เพราะมันทำลายตัวจิตแล้ว อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ อาสวะสิ้นไป ตัวจิต! ตัวจิต! ตัวจิต!

อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ ตัวจิตทำลายตัวจิต เราถึงบอกว่าพระอรหันต์ไม่มีจิต ถ้ามีจิต คือ มีภพ มีจิต คือ มีตัวเรา ตัวจิต คือ ตัวสถานที่ตั้ง แล้วพอทำลายหมดแล้ว พระอรหันต์มีจิตไหม เพราะพระอรหันต์ไม่มีจิต พระอรหันต์มีแต่ธรรมธาตุ

ทีนี้ธรรมธาตุกลับมาดูไง มาดูเศษส่วนที่ทิ้งไง จิตนี้ไม่ใช่เรา จิตนี้ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ทีนี้พอธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ปั๊บ มาดูตรงนี้ เวลาตายจิตออกจากร่าง ถ้าเรารั้งไม่ให้จิตออกจากร่าง ตายไม่ได้ ถ้าเราไม่ออกจากบ้านเรา บ้านเรา คือ ร่างกาย แล้วเราอยู่ในบ้านเรา บ้านนี้จะมีเจ้าของตลอดไป ถ้าจิตเราอยู่ในร่างกายตลอดไป ไม่ให้จิตออก จะตายได้ไหม เว้นไว้แต่บ้านมันจะพัง โอ๊ย บ้านไม่ไหวแล้ว บ้านจะทับกู กูไปก่อนดีกว่า ปล่อยออก ตาย

ผู้ที่พิจารณาอิทธิบาท ๔ ผู้ที่มีราตรีเดียวกับธรรม ธรรม ก็คือ ธรรม ธรรมเป็นธรรมอยู่แล้ว ผู้มีราตรีเดียว ผู้พิจารณาอิทธิบาท ๔ เพราะในพระไตรปิฎก มี! พระบอกพูดอย่างนี้ บอกว่าเราพิจารณาอิทธิบาท ๔ พระไปฟ้องพระพุทธเจ้าเลย บอกว่าพวกนี้อวดอ้างว่าเป็นพระอรหันต์

บางองค์พระพุทธเจ้าก็บอกให้สึก บางองค์พระพุทธเจ้าก็แบบว่ามันไม่ได้ตั้งใจ บางองค์พระพุทธเจ้าบอก ใช่! เป็นพระอรหันต์จริงๆ เพราะบางทีมันหลงได้ ความหมายอย่างไร ก็ความหมายอย่างนี้

ผู้มีราตรีเดียว ผู้มีราตรีเดียวจริงๆ ทีนี้ประสาเราก็งงอีกล่ะ จะมีราตรีเดียวได้อย่างอะไร ก็เห็นจดทุกวัน วันเสาร์วันอาทิตย์เห็นจดบัญชีทุกวันเลย เฮ้ย มีราตรีเดียวได้อย่างไง อ้าว วันที่นี่สมมุติเว้ย ถ้าวันที่ไม่มีเราสื่อกันไม่ได้ เราจะคุยกันได้อย่างไร เราคุยกันด้วยสมมุติทั้งนั้น

ดูสิๆ ฟังหลวงตาท่านพูดสิ ธรรมะ ธรรมธาตุนั้นเทศน์ไม่เป็น ธรรมธาตุเทศน์ไม่ได้ ธรรมที่วิมุตติ จิตที่อ่อนนิ่ม มันแสดงตัวออกมาไม่ได้ เวลาแสดงตัวออกมาก็แสดงออกมา เสวยอารมณ์ เสวยขันธ์ เสวยขันธ์ออกมาก็ออกมาสื่อสารคุยกันอยู่นี่

ตัวธรรมธาตุ มันวิมุตติ มันพ้นจากวัฏฏะหมดเลย แต่ในเมื่อมันยังมีเศษส่วนยังมีชีวิตอยู่เห็นไหม ชีวิตอยู่ ก็เหมือนของที่เราซื้อมา มันยังเหลืออยู่ เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ไง ถ้าเราไม่ซื้อมา นี่ของของเขาหมดเลย ตายก็ตายเปล่า

แต่พอเราเกิดมา เป็นมนุษย์ปั๊บ เราปฏิบัติจนเราเป็นพระอรหันต์ปั๊บ สิ่งที่เหลือเป็นมนุษย์ มนุษย์ได้มาจากนี่ไง “โมคคัลลานะเธออย่าพูดนะ เราก็เกิดมาจากกาม พระพุทธเจ้าก็เกิดมาจากพ่อแม่ เราเกิดมาจากกาม แต่เอากามมาสร้างประโยชน์เห็นไหม”

นี่ไงเราเกิดมาเป็นมนุษย์ไง พอปฏิบัติแล้วก็สิ่งที่เหลือเป็นมนุษย์ ก็อยู่ในสังคมมนุษย์ก็คุยกับมนุษย์ได้ไง พอตายตูม! ออกจากวัฏฏะไปแล้ว เพราะมันออกตั้งแต่พ้นกิเลสนั่น ไม่มีทาง จบกันแล้ว มันจบตั้งแต่ตอนสิ้นกิเลสนั้น พอกิเลสตายจบแล้ว

ทีนี้นี่สิ่งที่เหลือนะ สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ อนุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ตายแล้ว แล้วพระอรหันต์สองประเภทนี้เหมือนกัน เพราะจิตมันเหมือนกัน เพราะตอนสิ้นกิเลส เพียงแต่มีร่างกายกับไม่มีร่างกาย จบหรือยัง เอวัง